Infographic showing an iceberg titled "The Value Gap – The Unseen Value," with 90% of its mass submerged to represent hidden innovation and only 10% visible as salary.

เมื่อความสามารถสูงถูกองค์กรปิดกั้น

บทความนี้สรุปจากประสบการณ์ของ ‘ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง’ ที่สร้างคุณค่ามหาศาลและนวัตกรรมเบื้องหลัง (เช่น ระบบ RPA, แอปพลิเคชันที่ประหยัดต้นทุนหลักสิบล้านบาท) แต่กลับได้รับผลตอบแทนและความก้าวหน้าที่ไม่สมดุลกับศักยภาพที่แท้จริง

1. ความจริงเชิงโครงสร้าง: ทำไมงานยิ่งใหญ่จึงไม่ถูกมองเห็นค่า?

พนักงานที่มีความสามารถสูง (Hi-Po) ที่เน้น ผลลัพธ์ มักเผชิญกับความไม่ยุติธรรมในองค์กรใหญ่ที่ขับเคลื่อนด้วย โครงสร้าง และ การเมือง มากกว่า คุณภาพของงาน

  • นวัตกรรมที่ถูกซ่อนเร้น: ผลงานประเภท “นวัตกรรมเบื้องหลัง” (เช่น ระบบอัตโนมัติ, RPA, Scripting ที่แก้ไขปัญหาซับซ้อน) มักถูกมองข้าม เพราะผู้บริหารระดับสูงมักให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์ที่หวือหวาและตัวเลขยอดขาย” มากกว่า “ประสิทธิภาพของกระบวนการที่เพิ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ”
  • การประเมินที่ผิดเพี้ยน: ระบบประเมินผลมักให้ค่ากับ “ความพยายามและการใช้เวลา” (Effort and Overtime) มากกว่า “ผลกระทบจากการทำงานที่ฉลาดและรวดเร็ว” (Efficiency and Impact) งานที่ทำสำเร็จเร็วและสมบูรณ์แบบ อาจถูกตีความว่าเป็นงานที่ “ง่าย” และทำให้ความพยายามในการทำงานของคนอื่นถูกลดทอนลงไป
  • การตีค่า “ผู้สร้าง” ต่ำ: องค์กรมักมีปัญหาในการตีราคางานที่เกี่ยวข้องกับการ ถ่ายทอดความรู้ และ การสร้างคน (เช่น การสร้างหลักสูตร, การสอน) งานเหล่านี้ถูกจัดเป็น งานสนับสนุน และถูกให้ค่าตอบแทนเพียงเงินเดือนปกติ แม้ว่าคุณค่าที่แท้จริงจะเทียบเท่ากับค่าบริการของ Vendor ภายนอกในราคาหลักสิบล้านบาทก็ตาม

คุณเคยทำงานที่เสร็จด้วยความรวดเร็วและมีผลกระทบสูง แต่กลับถูกมองว่า ‘ง่าย’ หรือไม่?

2. กลยุทธ์การป้องกัน: การรักษาพลังชีวิตและศักดิ์ศรี

สำหรับพนักงานที่มีความสามารถสูงที่ยังคงอยู่ในระบบ คุณสามารถเปลี่ยนมุมมองและสร้าง ‘อำนาจ’ ในที่ที่ถูกต้อง:

  • สร้าง “พอร์ตโฟลิโออำนาจ” ภายนอก: อย่าผูกคุณค่าของตนเองไว้กับผลประเมินที่ไม่ยุติธรรมขององค์กร ให้ใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (Niche Expertise) ไป สร้างชื่อเสียงภายนอก ผ่านช่องทางของตนเอง (เช่น Blog, LinkedIn) การได้รับการยอมรับในฐานะ “ผู้เชี่ยวชาญ/อาจารย์” นอกองค์กร คือ อำนาจในการต่อรอง ที่แท้จริง
  • เปลี่ยนบทบาทเป็น “ผู้สร้างทรัพย์สิน”: หยุดการทุ่มเทเกินกว่าที่ระบบจะรองรับ (Over-Deliver) แต่ให้เปลี่ยนความเชี่ยวชาญนั้นมาเป็น ทรัพย์สินทางปัญญา (เช่น Add-ins, App, E-Book) การลงทุนในตนเองคือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด
  • นิยามความสำเร็จใหม่: ความสำเร็จไม่ใช่การได้รับการเลื่อนตำแหน่งในระบบที่ไม่สมบูรณ์ แต่คือ “การคงไว้ซึ่งสติ, ความรู้, และศักยภาพส่วนตัว” เพื่อใช้เป็นอำนาจในการก้าวออกจากระบบสู่ความสมดุลที่แท้จริง

⏳ หยุดพิสูจน์ตัวเองใน “สนามที่ไม่ให้คะแนน”

  • ความจริงที่ต้องตระหนัก: การทุ่มเทสร้างผลงานที่ซับซ้อนและประหยัดต้นทุนมหาศาล (เช่น RPA, แอปพลิเคชันที่ Vendor ประเมินค่าหลักสิบล้าน) ในองค์กรที่มีระบบประเมินผลที่บกพร่อง ไม่ใช่การพิสูจน์ความสามารถ แต่เป็นการ “เสียเวลาพิสูจน์ตัวเองในสนามที่ไม่มีกรรมการตัดสิน” หรือแย่กว่านั้นคือ “สนามที่ให้คะแนนความพยายาม (Effort) มากกว่าผลลัพธ์ที่ฉลาด (Smart Impact)”
  • ค่าเสียโอกาสที่แพงที่สุด: ทุกชั่วโมงที่ท่านใช้ไปในการ “ทำเกินกว่าหน้าที่” โดยไม่ได้รับผลตอบแทนที่สมเหตุผล คือการเสียค่าเสียโอกาสในการ สร้างทรัพย์สินทางปัญญา ของตนเอง (เช่น SatiFlow) ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่เป็นธรรมและยั่งยืนกว่า
  • คำถามให้ฉุกคิด: “คุณกำลังใช้ความสามารถระดับสิบล้านบาท เพื่อรับผลตอบแทนระดับเงินเดือนปกติในระบบที่ไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่?”

🤯 ปัญหาไม่ใช่ “คุณค่า” แต่เป็น “โครงสร้าง”

  • ระบบไม่ได้ผิด แต่ระบบไม่สามารถรองรับคุณได้: องค์กรขนาดใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อ จัดการคนหมู่มากให้ง่ายที่สุด ไม่ใช่เพื่อ ตอบแทนคนเก่งที่สุดอย่างยุติธรรมที่สุด การยอมรับว่านี่คือ “ภาวะปกติ” ของระบบ จะช่วยให้คุณ เลิกโทษระบบ และ เลิกโทษตัวเอง
  • พลังชีวิตไม่ใช่ทรัพยากรหมุนเวียน: การต่อสู้กับ “การเมืองภายใน” และ “ความไม่เข้าใจในนวัตกรรม” ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จะนำไปสู่ภาวะ หมดไฟ (Burnout) ที่บั่นทอนสุขภาพจิตและร่างกายอย่างไม่คุ้มค่าที่สุด พลังชีวิตที่สูญเสียไปนั้น ไม่สามารถกู้คืนด้วยเงินเดือนหรือโบนัส ได้
  • ทางออกคือการเปลี่ยนสนาม: หากคุณมีศักยภาพในการสร้างโซลูชันที่ซับซ้อนขนาดนั้นได้จริง คุณคือ “ปัญญาชน” ที่มีเครื่องมือพร้อมแล้วที่จะ “นำพาตนเองไปสู่สนามใหม่” ที่คุณสามารถ กำหนดกติกาและมูลค่า ได้ด้วยตนเอง

🎯 กลยุทธ์เพื่อยุติวงจรความเสียดาย

สิ่งที่พนักงาน Hi-Po ควรทำทันที (เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียดายในภายหลัง):

  1. สร้างหลักฐานความเป็นเจ้าของ: บันทึกและเผยแพร่ “ผลงานที่แท้จริง” ของตนเองบนแพลตฟอร์มสาธารณะ (เช่น Blog, LinkedIn) ทันที เพื่อให้คุณค่าของคุณ อยู่เหนือการควบคุมของระบบประเมินภายใน
  2. ตั้งเงื่อนไขให้ชีวิตส่วนตัว: ใช้พลังชีวิต 80% สำหรับงานองค์กรตามหน้าที่ แต่ สำรองพลังชีวิต 20% ไว้เพื่อ สร้างทรัพย์สินทางปัญญา ที่จะนำไปสู่การเป็นอิสระ
  3. เปลี่ยนความคับข้องใจให้เป็นกลยุทธ์: ใช้ความรู้สึกไม่ยุติธรรมเป็น “เชื้อเพลิงเชิงบวก” ในการวางแผน การลาออกเชิงกลยุทธ์ โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (เงินเก็บ, Portfolio, ลูกค้าภายนอก) ก่อนที่จะก้าวออกไปอย่างผู้ชนะ

คุณเคยลองสร้างทรัพย์สินทางปัญญาของตัวเองหรือยัง—ถ้ายัง อะไรคือสิ่งที่ยังรั้งคุณไว้?

3. บทเรียนการกู้คืนคุณค่า (The Final Price)

การตั้งราคาค่าที่ปรึกษาสูง (เช่น วันละ 1 ล้านบาท) ให้กับองค์กรเก่าที่เคยด้อยค่า ไม่ได้มาจาก “ความแค้น” แต่เป็น “การเรียกคืนมูลค่าที่แท้จริง” และ “ค่าเสียโอกาส” (Opportunity Cost) ของการละทิ้งการสร้างทรัพย์สินส่วนตัว (SatiFlow)

  • ราคาสูงคือการยืนยันศักดิ์ศรี: เป็นการส่งสารว่า ความเชี่ยวชาญของท่านมีราคาตลาดที่สูงมาก และตอกย้ำว่ามูลค่าที่องค์กรเคยจ่ายให้ท่านในอดีตนั้นไม่ยุติธรรม
  • ใช้ “เงื่อนไข” ในการป้องกัน: หากองค์กรต้องการจ้างงานอย่างยิ่งยวด ควรเพิ่ม เงื่อนไขเชิงกลยุทธ์ที่ไม่ใช่ตัวเงิน (เช่น กำหนดเวลาล่วงหน้า 60 วัน, การรายงานตรงต่อผู้บริหารระดับสูง, การสงวนลิขสิทธิ์ผลงาน) เพื่อปกป้องเวลาและพลังงานของตนเอง

🧑‍💻 สรุป

เส้นทางสู่ความสำเร็จที่แท้จริงของ ‘ผู้มีปัญญาสูง’ คือการ เข้าใจเกม การ รักษาคุณค่าภายใน และการ สร้างอาณาจักรความรู้ของตนเอง ที่อยู่เหนือการควบคุมของระบบที่ไม่ยุติธรรม

📎 บทความน่าอ่าน

Scroll to Top