Excel Forum

Sub HtmlSelect() Dim obj As Object, i As Integer, j As Integer Dim a As Variant, b As Variant, c(0, 2) As Variant With Sheets(1) For Each obj In .Shapes If Left(obj.Name, 4) = "HTML" Then a = Split(obj.DrawingObject.Object.DisplayValues, ";") '1 Display value if Data is value Q:...

ว่าแต่ไม่มีวิธีอื่นที่ซับซ้อนน้อยกว่านี้แล้วใช่หรือเปล่าครับ เห็นโค้ดก็แอบหนักใจแล้ว

เอามาจกโปรแกรมการสั่งของของบริษัทน่ะครับ ผมต้องการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปเอกเซล และนำไปใช้ต่อไป ทีนี้มัน export ออกมาได้แค่ pdf กับ html ผมเลยเลือก html แล้วนำมาเปิดโดยใช้ vba และดึงข้อมูลมา ซึ่งข้อมูลก็มีครบถ้วนทุกอย่างที่ผมต้องการ ขาดแค่ ชื่อสาขา และวันที่ส่งสินค้าที่อยู่ในกล่องแบบนั้น ผมอยากให้มัน...

แนบไฟล์ .xlsm เพิ่มให้ทั้่งในโพสนี้แล้วนะครับ

ถ้าดูจากลิงค์ที่คุณ Dhitibank ให้มาแล้ว คิดว่าน่าจะเป็น
Sub HtmlSelect()
sheets("Sheet2").Range("A1") = Shapes.Range(Array("HTMLSelect1")).Value
End Sub
แต่มันไม่ใช่ คือไม่รู้ว่าการเลือกค่าในกล่องเหล่านี้ต้องใช้คำสั่งอะไรน่ะครับ

ช่อง C3 .ใส่สูตร =INDEX($F$3:$L$8,$A3,MATCH($B3,$F$2:$L$2,0))

อ๋อ คีย์สำคัญอยู่ที่ .formula นี่เอง ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณครับ ใช้ได้เลย แต่ผมมีความสับสนเรื่องการลากสูตรโดยใช้ vba น่ะครับ คือถ้าเป็น formula ปกติจะแยกกันด้วย $$ แต่ตัว vba มันแยกด้วยอะไรว่า B3:B225 =if(AP3=" & Chr(34) & "Need Decision" & Chr(34) & ",0,1) หรือว่าต้องใส่สูตรเป็น ิb3 =if(AP3=" & Chr(34) &am...

ผมเขียนออกมาแบบนี้ แต่รู้สึกว่ามันไม่กระชับ อยากทราบวิธีเขียนให้จบให้สั้นกว่านี้น่ะครับ Sub test() With Worksheets("Sheet1") .Range("B3").Formula = "=if(AP3=" & Chr(34) & "Need Decision" & Chr(34) & ",0,1)" .Range("B3:B225")...

ตกลงว่าไม่ได้สินะครับ อบคุณครับ

คือต้องการแสดงผลต่างของยอดขายปี 2016 และ 2015 น่ะครับ ทีนี้ถ้าปรับ value setting เป็น difference ตามไฟล์ที่แนบไปแล้ว มันจะมีคอลัมน์โผล่ขึ้นมาสองอัน เป็นคอลัมน์ว่างอันนึงและคอลัมน์ที่เป็นผลต่างอันนึง ผมจึงต้องการซ่อนคอลัมน์ว่างเอาไว้ ไม่ให้โชว์น่ะครับ

ต้องการซ่อนเฉพาะคอลัมน์ที่ไฮไลท์สีเหลืองน่ะครับ ไม่รู้ว่าสามารถทำได้หรือเปล่า และถ้าทำได้ต้องปรับตรงไหนครับ
หมา่ยเหตุ sum of growth คือผลต่างของยอดขายปี 2015 และ 2016

ได้คำตอบละครับ ใช้ CH(32) หรือไม่ก็ใส่แบบนี้
range("B1") = "=if(a1=""A"",""A"",""B"")"

เช่นถ้าผมจะพิมพ์สูตรใน vba ว่า

range("B1") = "=if(a1="A","A","B")"

ผมจะต้องพิมพ์แบบไหน ถึงจะสามารถใส่ตัว " ลงไปในสูตรได้ครับ

อ่อ การใส่ 0 ทำให้เป็น array นี่เอง ผมเคยเจอกรณีเป็น 0 แล้วผลลัพธ์ของ index(A:A,0) มันเทียบเท่ากับ =index(A:A,row()) ก็คิดอยู่ว่าทำไมมันถึงดึงผลลัพธ์แบบนี้ แทนที่จะเป็น error ขอบคุณครับ จะได้จำไว้ใช้ประโยชน์

ปล.หวังว่าผมคงหมดประเด็นสงสัยละ ปัญหาเยอะจริง 555

ข้อ ๑ ผมหมายถึง ใช้สูตร .Index(.CountIf(Worksheets("sheet1").[A:A], [G1:G10000]), 0) และ .CountIf(Worksheets("sheet1").[A:A], [G1:G10000]) มันได้ผลเหมือนกันในไฟล์นี้น่ะครับ เลยสงสัยว่าใส่ index(...) มาเพราะมีเหตุผลอะไรหรือเปล่าเผื่อมีทริคใหม่ๆ ^ ^ ส่วนข้ออื่นเข้าใจแล้วครับ ข้อ ๒ ...

นี่แหละที่ต้องการ ขอบคุณครับ

อ๋อ เข้าใจละ ขอบคุณครับ

ลองเล่น code ที่คุณ snasui ให้มาเพิ่มแล้ว มีคำถามอีก 3 ข้อครับ 1. ทำไมถึงใส่ .index(...)ใน y = .Index(.CountIf(Worksheets("sheet1").[A:A], [G1:G10000]), 0) มาเหรอครับ ผมลองลบออก vba ก็ใช้งานได้ปกตินี่ครับ 2. ความแตกต่างของ Application. กับ Worksheetfunction. 3. การใช้ Excel. ควรใส่ในกรณีไห...