จากสูตร =IF(ROWS(H$2:H2)>$I$2,"",INDEX(Dept,SMALL(IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROWS(H2:$H$2)))) หมายความว่า หาก ROWS(H$2:H2)>$I$2 มีค่าเป็นจริงแล้ว ให้แสดงค่าว่าง หากไม่เป็นจริงให้แสดงผลลัพธ์ของ INDEX(Dept,SMALL(IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROWS(H2:$H$2)))
จากสูตร INDEX(Dept,SMALL(IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROWS(H2:$H$2))) หมายความว่า จากช่วงเซลล์ Dept ให้แสดงค่าในบรรทัดที่เป็นผลลัพธ์ของสูตร SMALL(IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROWS(H2:$H$2))
จากสูตร SMALL(IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROWS(H2:$H$2)) หมายความว่า จากช่วงเซลล์ที่ได้จากผลลัพธ์ของสูตร IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1) ให้หาค่าที่น้อยที่สุดในลำดับที่เป็นผลลัพธ์ของสูตร ROWS(H2:$H$2)
จากสูตร IF(FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1) หมายความว่า หาก FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1) เป็นจริง (ไม่เป็น 0) แล้วให้แสดงผลลัพธ์ของ ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1 หากไม่เป็นจริงให้แสดงค่า False
จากสูตร FREQUENCY(IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)),ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1) หมายความว่า ค่าที่ได้จากสูตร IF(Dept<>"",MATCH(Dept,Dept,0)) เกิดขึ้นกี่ครั้งจากค่าในผลลัพธ์จากสูตร ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1
ดูเพิ่มเติมเรื่อง Frequency ที่
http://www.snasui.com/viewtopic.php?f=3&t=2221
สูตร MATCH(Dept,Dept,0)) อธิบายแล้วตามความเห็นก่อนหน้านี้
สูตร ROW(Dept)-MIN(ROW(Dept))+1 หมายถึง จำนวนบรรทัดทั้งหมดจาก Dept หักด้วยบรรทัดเริ่มต้นของ Dept แล้วบวกด้วย 1 เพื่อให้แสดง
ค่าลำดับเริ่มที่ 1 เสมอ ดูเพิ่มเติมที่
http://www.snasui.com/viewtopic.php?p=17983#p17983