ผมจะแปลให้เป็นแนวทางสำหรับในส่วนที่ดูว่าซับซ้อนวุ่นวายครับ
จากสูตร =IFERROR(SUMIFS(INDEX($E$26:$I$73,0,MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0)),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),">="&LEFT(D$1,FIND("-",D$1)-1),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),"<="&MID(D$1,FIND("-",D$1)+1,4)),0)
แปลว่าหากผลลัพธ์ของ SUMIFS(INDEX($E$26:$I$73,0,MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0)),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),">="&LEFT(D$1,FIND("-",D$1)-1),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),"<="&MID(D$1,FIND("-",D$1)+1,4)) เป็นค่าผิดพลาดให้แสดงค่า 0
จากสูตร SUMIFS(INDEX($E$26:$I$73,0,MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0)),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),">="&LEFT(D$1,FIND("-",D$1)-1),INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)),"<="&MID(D$1,FIND("-",D$1)+1,4))
แปลว่าให้รวมยอดของช่วง INDEX($E$26:$I$73,0,MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0)) โดยมีสองเงื่อนไขคือ ช่วงของ INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)) จะต้องมีค่าเท่ากับ ">="&LEFT(D$1,FIND("-",D$1)-1) และ ช่วงของ INDEX($J$26:$K$73,0,MATCH($M4,$J$25:$K$25,0)) จะต้องมีค่าเท่ากับ "<="&MID(D$1,FIND("-",D$1)+1,4)
โดยที่ INDEX($E$26:$I$73,0,MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0)) คือช่วงข้อมูลในแนวคอลัมน์ แปลสูตรได้ว่า จากช่วง $E$26:$I$73 ให้นำคอลัมน์ที่เป็นผลลัพธ์ของ MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0) มาแสดง ซึ่ง MATCH(--$B4,$E$25:$I$25,0) หมายถึง ให้หาว่าค่าของ --$B4 อยู่ในลำดับที่เท่าไรของ $E$25:$I$25 หากผลลัพธ์จาก Match เป็น 2 ภาพรวมสูตรจะได้เป็น INDEX($E$26:$I$73,0,2) แปลว่าให้แสดงคอลัมน์ที่ 2 ของตาราง $E$26:$I$73 นั่นคือจะแสดงเป็น F2:F73 นั่นเอง
สูตร Index ในช่วงอื่น ๆ ก็จะแปลในลักษณะเดียวกัน ส่วนที่เหลือเป็นฟังก์ชั่นง่าย ๆ ที่ควรจะศึกษาให้เข้าใจ ใช้ให้เป็นเช่น Mid, Left, Sumifs, Find จะได้เข้าใจว่าทำไมต้อง -1 โดย Download ไฟล์ที่ผมแจกไว้ในกระทู้นี้ไปศึกษาแต่ละฟังก์ชั่นได้ตามสะดวกครับ
viewtopic.php?f=9&t=13233
นอกจากนี้ควรฝึกประเมินสูตร โดยคลิกเซลล์ที่มีสูตร ลากคลุมส่วนทีต้องการดูคำตอบใน Formula Bar แล้วกดแป้น F9 หรือจะใช้การประเมินสูตรด้วยการเข้าเมนู Formula > Evaluate Formula > คลิก Evaluate ซ้ำ ๆ เพื่อแสดงการแปลสูตรไปทีละลำดับจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นครับ